โรคมะเร็ง (Cancer)
โรคมะเร็ง คือการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ โรคมะเร็ง มีมากกว่า 100 ชนิด ได้แก่
มะเร็งเต้านม มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
อาการที่แสดงออกก็จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การรักษาโรคมะเร็งประกอบด้วยการรักษาด้วยเคมีบำบัด การฉายรังสีรักษา และ / หรือการผ่าตัด
1. มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer)
ต่อมลูกหมากเป็นต่อมในระบบสืบพันธุ์เพศชาย เป็นแหล่งผลิตน้ำอสุจิที่ประกอบไปด้วยสเปิร์ม ต่อมลูกหมากมีขนาดเท่าผลวอลนัท ตั้งอยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะ และโดยรอบจะประกอบด้วยท่อนำปัสสาวะส่วนต้น มะเร็งต่อมลูกหมาก มักจะเป็นโรคมะเร็งที่เจริญหรือรุกรามอย่างช้าๆ มักจะไม่ก่อให้เกิดอาการจนกว่าจะเกิดโรคในระยะรุนแรง คนส่วนใหญ่ที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมักจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่น ๆ และมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่เมื่อมะเร็งต่อมลูกหมากเริ่มรุกรามอย่างรวดเร็ว หรือมะเร็งแพร่กระจายออกไปนอกต่อมลูกหมาก ก็จะทำให้เกิดอันตรายได้ มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรก (จะพบมะเร็งได้ในต่อมลูกหมากเท่านั้น) สามารถรักษาได้ง่าย และมีโอกาสรอดชีวิตสูง
โรคมะเร็งที่มีการแพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก (เช่นกระดูก ต่อมน้ำเหลือง และปอด) จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ยังสามารถควบคุมการดำเนินโรคไม่ให้รุกรามได้เป็นเวลาหลายปี เพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะท้ายๆหรือรุนแรกจะยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยห้าปี ผู้ป่วยเพศชายในระยะรุนแรงบางรายสามารถดำรงชีวิตได้ปกติ และเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ เช่นโรคหัวใจ
สาเหตุของโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมลูกหมากมักเกิดในเพศชายที่มีอายุมาก ประมาณ 80% ของผู้ป่วยที่พบมีอายุมากกว่า 65 ปี และน้อยกว่า 1% ของผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี. ผู้ชายที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะมีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งได้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติมะเร็งชนิดนี้ในครอบครัว
แพทย์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุที่แท้จริงของมะเร็งต่อมลูกหมากคืออะไร แต่อาหารก็เป็นปัจจัยเสียงชนิดหนึ่ง เพศชายที่ชอบรับประทานอาหารพวกเนื้อติดมัน มักจะมีแนวโน้มที่จะเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก การกินเนื้อสัตว์มีความเสี่ยงเนื่องจากเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกที่อุณหภูมิสูง จะผลิตสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งที่มีผลต่อต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งชนิดนี้พบได้บ่อยมากในประเทศที่มีอัตราการบริโภคเนื้อสูง โดยจะพบได้มากกว่าในประชาการของประเทศที่บริโภคข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และผักเป็นอาหารหลัก
ฮอร์โมนยังมีบทบาทในการก่อให้เกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารทีมีไขมันสูง จะไปเพิ่มฮอร์โมนเพศชายชนิดเทสโทสเทอโรน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นการเจริญเติบโต และการแพร่กระจายของมะเร็งต่อมลูกหมาก
งานบางชนิดก็ทำให้เกิดอันตรายต่อต่อมลูกหมาก ได้ เช่น ช่างเชื่อมโลหะ การทำงานในโรงงานผลิตแบตเตอรี่ คนงานผลิตยาง และคนงานที่ต้องสัมผัสโลหะแคดเมียมบ่อยครั้ง ก็มักจะมีแนวโน้มที่จะได้รับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
การไม่ออกกำลังกายก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้
ทั้งนี้การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น ซอสมะเขือเทศ หรือผัก เช่น บล็อกโคลี่ กะหล่ำดอก หรือกะหล่ำปลี อาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคได้
อาการของโรค
อาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากคืออะไร
มะเร็งต่อมลุกหมากที่เกิดขึ้นในระยะต้นมักจะไม่มีสัญญาณเตือน แต่เมื่อเนื้องอกขยายขนาดขึ้นทำให้ต่อมลุกหมากบวมโต หรือมะเร็งแพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก อาการที่อาจจะจะเกิดขึ้นมีดังต่อไปนี้
- มีอาการปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน
- มีความยากลำบากในการปัสสาวะ หรือการพยายามกลั้นปัสสาวะ
- ปัสสาวะอ่อน
- เมื่อหัวเราะหรือไอมักจะมีปัสสาวะเล็ด
- ไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนปัสสาวะได้
- ความรู้สึกปวด และแสบเมื่อปัสสาวะ หรือเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- มีเลือดออกในปัสสาวะ หรือน้ำอสุจิ
อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากมะเร็งโดยตรง แต่อาการที่เกิดขึ้นเกิดจากการจากการขยายขนาดของมะเร็งไปกดทับต่อมลูกหมาก ซึ่งอาการเหล่านี้ยังพบได้ในเนื้องงอกต่อมลูกหมากชนิดที่ไม่ใช่มะเร็ง และอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วย
อาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะรุนแรงประกอบด้วย
- มีอาการปวดลึก หรือเกร็งบริเวณ กระดูกเชิงกราน, ซี่โครงล่างด้านหลัง หรือบริเวณต้นขา
- และมีอาการปวดกระดูกในบริเวณเหล่านี้
- น้ำหนักลด และความอยากอาการลดลก รู้สึกเมื่อยล้า คลื่นไส้ หรืออาเจียน
- มีอาการบวมที่ขา
- มีอาการอ่อนแอ หรืออัมพาตบริเวณขา และมักมีอาการท้องผูก
เมื่อพบอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์โดยทันที
การรักษา
การรักษามะเร็งต่อมลุกหมากไม่มีวิธีการที่ตายตัว ทางเลือกในการรักษามีมากมาย ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาถึงปัจจัยต่างเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยแต่ละบุคคล สิ่งที่แพทย์จะพิจารณาประกอบการรักษา ประกอบด้วย
- ขนาดของเนื้องอก และระยะในการแพร่กระจายขอโรค
- อัตราการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- อายุ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย
- การเลือกแผนการรักษาที่ตรงกับความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย
ทางเลือกในการรักษามีดังต่อไปนี้
การเฝ้าระวังและติดตามการดำเนินของโรค
แพทย์อาจแนะนำให้รอดูอาการก่อนว่าเนื้องอกจะเติบโตหรือแพร่กระจายหรือไม่ ก่อนที่จะทำการรักษา มะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่จะเติบโตอย่างช้าๆ และแพทย์บางท่านมีความเห็นว่าจะยังไม่ทำการรักษาจนกว่าเนื้องอกจะมีการเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดอาการ แพทย์จะทำการตรวจเป็นระยะๆเผื่อเฝ้าระวังและติดตามการดำเนินของโรคอย่างใกล้ชิด
การผ่าตัดหรือการศัลยกรรม
วิธีการนี้มักจะเกี่ยวข้องกับผ่าตัดเผื่อเอาทั้งหมดหรือบางส่วนของต่อมลูกหมากออกไป ชนิดของการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก และบริเวณที่พบเนื้องอก
การทำรังสีรักษา
การรักษานี้จะใช้คลื่นพลังงานสูง หรืออนุภาคเพื่อเข้าทำลายหรือฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้เนื้องอกหดเล็กลง รักสีที่ใช้จะมีหลายชนิดขึ้นอยู่กับการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
การรักษาด้วยฮอร์โมน
ฮอร์โมนบางชนิดในร่างกายสามารถกระตุ้นการเติบโตของเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้ ดังนั้นการรักษาด้วยวิธีนี้คือการช่วยลดระดับของฮอร์โมนเหล่านั้น หรือยับยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้รับฮอร์โมนเหล่านั้น
การรักษาด้วยเคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดอาจให้ผ่านทางการรับประทาน หรือผ่านทางหลอดเลือดดำเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ตัวยาเข้าทำลายเซลล์มะเร็ง และทำให้เนื้องอกหดตัว แพทย์อาจพิจารณาให้ผู้ป่วยใช้วิธีนี้เมื่อเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก และการรักษาด้วยฮอร์โมนไม่ได้ผล
การทำชีวบำบัด
การรักษานี้จะทำงานร่วมกับระบบภูมิคุ้มในร่างกายเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง โดยจะใช้ในการรักษามะเร็งต่อมลูกหมากในระยะรุนแรง
การรักษาด้วบิสฟอตเฟส (bisphosphonate)
ในกรณีที่มะเร็งรุกรามไปยังกระดูก การรักษาด้วยวิธีนี้สามารถบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้กระดูกหักได้
โดยทั่วไปแพทย์มักจะเริ่มต้นด้วยการรักษาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่ในบางกรณีท่านอาจจะได้รับการรักษามากกว่าหนึ่งวิธีการร่วมกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
2. มะเร็งรังไข่ (Ovarian Cancer)
สัญญาณเตือนของ มะเร็งรังไข่ ประกอบด้วยอาการปวดต่อเนื่อง หรือท้อง หรือปวดบริเวณหลัง มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ, คลื่นไส้, และท้องอืด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะการดำเนินของโรคมะเร็ง, การรักษาโรคมะเร็งรังไข่จะรวมถึงการผ่าตัด และการทำเคมีบำบัด
อาการ
มะเร็งรังไข่ มักจะเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ ไม่แสดงอาการจนกว่าจะดำเนินโรคถึงระยะท้ายๆ สิ่งที่สำคัญคือควรสังเกตอาการ และสัญญาณเตือนของมะเร็งชนิดนี้
มะเร็งรังไข่ในระยะแรกมักจะไม่แสดงอาการใดๆที่ชัดเจน 12 อาการดังต่อไปนี้ที่อาจเกิดขึ้นในระยะท้ายๆ
ในบางกรณีมะเร็งรังไข่อาจก่อให้เกิดอาการในระยะเริ่มแรก อาการที่พบบ่อยที่สุดของโรคมะเร็งรังไข่ประกอบด้วย
- ท้องอืดบ่อย
- ปวดท้องหรือบริเวณกระดูกเชิงกราน
- มีปัญหาในการรับประทานอาหารหรืออิ่มเร็ว
- ปัญหาในการปัสสาวะ เช่นปัสสาวะบ่อย อั้นปัสสาวะลำบาก
หากคุณพบอาการเหล่านี้หนึ่งอาการหรือมากกว่า และอาการที่พบมักเกิดขึ้นเกือบทุกวันมานานกว่า 2 หรือ 3 ควรไปปรึกษาแพทย์
บางครั้งอาการเหล่านี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงบางคน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นโรคมะเร็งรังไข่ แต่อาการเริ่มแรกของโรคมะเร็งรังไข่จะพบได้ดังต่อไปนี้
- อาการจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
- อาการจะแตกต่างจากอาการย่อยอาหารผิดปกติ และปัญหารอบเดือน
- อาการจะเกิดขึ้นเกือบทุกวัน และอาการจะไม่ดีขึ้น
อาการอื่นๆที่อาจขึ้นกับผู้ป่วยสตรีบางท่าน ประกอบด้วย
- ความเมื่อยล้า
- อาหารไม่ย่อย
- ปวดหลัง.
- มีอาการปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ท้องผูก
- การเปลี่ยนแปลงรอบประจำเดือน
แต่อาการเหล่านี้ก็ยังสามารถพบได้ในสตรีทั่วไปบางคนที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็งรังไข่
การรักษา
ทางเลือกในการรักษา
ทางเลือกของการรักษา และผลการรักษาในระยะยาว (การพยากรณ์โรค) สำหรับผู้หญิงที่มีโรคมะเร็งรังไข่ขึ้นอยู่กับชนิด และระยะของโรคมะเร็ง และยังต้องพิจารณาถึง อายุ สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยคุณภาพชีวิต และความปรารถนาที่จะมีบุตร
ทางเลือกในการรักษาหลักๆมีดังต่อไปนี้
- ศัลยกรรม ผ่าตัด เพื่อตรวจหาดูเนื้องอกโรคมะเร็ง ซึ่งอาจรวมถึงการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อตรวจสอบการแพร่กระจายของมะเร็ง
- ทำเคมีบำบัด โดยการให้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งแพทย์จะแนะนำให้ทำหลังการผ่าตัดมะเร็งรังไข่ในทุกระยะ
สตรีที่เป็นมะเร็งรังไข่ในระยะรุนแรง อาจได้รัยการทำเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด และหลังจากการผ่าตัด ซึ่งจะช่วยให้การรักษามะเร็งในระยะรุนแรงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การรักษาด้วยการฉายรังสี อาจถูกใช้เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งโดยใช้รังสีเอกซ์ความแรงสูงหรือรังสีพลังงานสูงชนิดอื่น ๆ
http://www.webmd.com/prostate-cancer/guide/understanding-prostate-cancer-basics
3 .โรคมะเร็งปอด (Lung Cancer)
โรคมะเร็งปอด คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นในปอด และสามารถแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายได้ มะเร็งปอดสามารถป้องกันได้ โดยการไม่สูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ของผู้อื่น หรือที่เรียกว่าการสูบบุหรี่มือสองนั่นเอง
สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งปอด
การสูบบุหรี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดมะเร็งปอด ในผู้ป่วยโดยในผู้ป่วยจำนวนหนึ่งร้อยรายที่เป็นมะเร็งปอด จะมีสาเหตุมาจากากรสูบบุหรี่จัดอยู่ที่ประมาณ 85 ราย ในบุคคลที่เคยสูบบุหรี่จัดมากก่อนเป็นเวลานาน และเลิกบุหรี่ได้ในภายหลัง ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบบุรี่เลย ทั้งนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆที่ส่งผลต่อการเกิดมะเร็งปอด เช่นการบกพร่องทางพันธุกรรมบางชนิด ที่อาจทำให้บางคนที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด
ควันบุหรี่มือสองยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปอด ผู้ที่อาศัยอยู่กับผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่ ประมาณ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
ผู้ที่ต้องสูดดมสารเคมีบางชนิดก็มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดเช่นกันผู้ที่ทำงานกับแร่ใยหิน หรือมีการสัมผัสกับฝุ่นยูเรเนียม หรือก๊าซของสารกัมมันตรังสีเรดอน ก็จะมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคมะเร็งปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาสูบบุหรี่ร่วมด้วย
เนื้อเยื่อปอดที่มีร่องรอย หรือแผลจากการติดเชื้อ เช่น วัณโรค หรือโรคผิวหนังแข็ง(scleroderma) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกในเนื้อเยื่อปอด แพทย์เรียกรอยโรคนี้ว่า รอยแผลเป็นมะเร็ง (scar carcinoma)
บางงานวิจัยกล่าวว่า ชนิดของอาหารที่รับประทานก็เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด แต่งานวิจัยนี้ยังไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจนนัก
อาการของโรคมะเร็งปอด
โรคมะเร็งปอดมักจะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อโรคมะเร็งปอดเริ่มแสดงอาการ ก็จะพบอาการได้ดังต่อไปนี้
- มีอาการไอเรื้อรัง ไอแห้งๆ บางครั้งจะพบเลือดปนมาในเสมหะด้วย
- มีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจบ่อยครั้ง มีอาการหลอดลมอักเสบ และปอดบวม
- หายใจสั้น หายใจมีเสียงวี๊ซ มาอาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย
- มีเสียงแหบ หน้าบวมและคอบวม
- มีอาการเมื่อยล้าตามบริเวณไหล่ แขน และมือ
- มีอาการเมื่อล้า อ่อนเพลีย มีความอยากอาหารลดลง น้ำหนักตัวลด มีไข้บ่อยครั้ง มีอาการปวดหัวเรื้อรัง และปวดเมื่อยตามร่างกาย
- กลืนอาหารลำบาก
ปัญหาเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีการปิดกั้นทางเดินหายใจ หรืออาจเป็นเพราะมะเร็งได้แพร่กระจายเข้าไปในพื้นในที่ปอด หรือพื้นที่ใกล้เคียง หรือส่วนอื่นๆในร่างกาย
ควรไปพบแพทย์โดยด่วนเมื่อไหร่
มีอาการที่เกี่ยวกับโรคปอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการไออย่างต่อเนื่อง เสมหะมีมูกเลือด มีเสียงแหบ หายใจมีเสียงวี๊ซ หรือมีอาการปอดติดเชื้ออยู่บ่อยครั้ง แพทย์จะทำการตรวจอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงการเอกซเรย์ หรือการทดสอบอื่นๆ
จะป้องกันโรคมะเร็งปอดได้อย่างไร
ลดความเสี่ยง
ทางที่ดีที่สุดคือการไม่สูบบุหรี่ และเพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการสูบบุหรี่ การเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้เป็นเรื่องง่าย แต่ก็เป็นไปได้ ซึ่งต้องใช้เวลา และความพยายามในการเลิกโดยถาวร คุณอาจไปรับคำปรึกษาจากแพทย์ หรือเข้าร่วมโครงการเลิกบุหรี่ เพื่อช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น หากมีเพื่อนร่วมงานที่สูบบุหรี่ ควรกระตุ้นให้พวกเขาเลิกบุหรี่ และขอร้องให้พวกเขาไม่สูบบุหรี่รอบๆตัวคุณ
การสูบบุหรี่ไม่ใช่สาเหตุเดียวของการเกิดโรคมะเร็งปอด การทำงานกับสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งก็ควรปฏิบัติตามกฎเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองด้วย
การรักษาโรคมะเร็งปอด
การรักษามะเร็งปอดขึ้นอยู่กับชนิดของโรคมะเร็งปอดที่เกิดขึ้น การรักษาโรคมะเร็งปอดชนิดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (Non-small cell lung cancer, NSCLC) จะแตกต่างจากการรักษาโรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก โดยการรักษาหลักๆคือ
การรักษาเซลล์มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะได้รับการรักษาโดยการทำเคมีบำบัด การผ่าตัดจะทำในกรณีที่ไม่พบว่ามะเร็งกระจายเข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณใจกลางหน้าอก(ต่อมน้ำเหลือง mediastinal) เซลล์มะเร็งบอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก พบได้น้อย โดยปกติมักจะพบว่ามะเร็งได้มีการแพร่กระจายแล้ว ดังนั้นการทำเคมีบำบัดจึงมักจะเป็นการรักษาหลัก นอกจากนี้คุณอาจจะได้รับการทำรังสีรักษาในการรักษามะเร็งปอดชนิดนี้เซลล์มะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็กส่วนใหญ่จะได้รับการรักษาโดยการทำเคมีบำบัด การผ่าตัดจะทำในกรณีที่ไม่พบว่ามะเร็งกระจายเข้าไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณใจกลางหน้าอก(ต่อมน้ำเหลือง mediastinal) เซลล์มะเร็งบอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก พบได้น้อย โดยปกติมักจะพบว่ามะเร็งได้มีการแพร่กระจายแล้ว ดังนั้นการทำเคมีบำบัดจึงมักจะเป็นการรักษาหลัก นอกจากนี้คุณอาจจะได้รับการทำรังสีรักษาในการรักษามะเร็งปอดชนิดนี้
การรักษาโรคมะเร็งปอดชนิดที่ไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก (Non-small cell lung cancer, NSCLC) สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เคมีบำบัด และรังสีรักษา ขึ้นอยู่กับระยะการดำเนินของโรคที่แพทย์ได้ทำการวินิจฉัย ผู้ป่วยบางรายที่เป็นมะเร็งปอดขั้นรุนแรงอาจได้รับการรักษาโดยการทำชีวบำบัดร่วมด้วย
http://www.webmd.com/lung-cancer/guide/lung-cancer-overview-facts
4. โรคมะเร็งสมอง (Brain Cancer)
โรคมะเร็งสมอง สามารถแสดงอาการได้หลากหลาย เช่น อาการชัก ง่วงนอน, สับสน, และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม แต่ไมใช่เนื้องอกในสมองทุกชนิดจะเป็นเซลล์มะเร็ง เนื้องอกในสมองชนิดที่ไม่ร้ายแรงก็สามารถทำให้เกิดอาการแสดงคล้ายคลึงกันได้
ชนิดของมะเร็งสมอง
เนื้องอกในสมองคือการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในสมอง
- แม้ว่าการเจริญเติบโตดังกล่าวจะนิยมเรียกกันว่าเนื้องอกในสมอง แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้องอกในสมองทุกชนิดจะเป็นมะเร็งในสมอง คำว่า โรคมะเร็งสมอง จะใช้สำหรับเนื้องอกชนิดที่รุนแรงมากเท่านั้น
- เนื้องอกมะเร็งสามารถเจริญเติบโตและการแพร่กระจาย ทำลายเซลล์ข้างเคียงที่ปกติ โดยการบุกรุกแย่งใช้พื้นที่ แย่งเลือด และสารอาหารที่มาหล่อเลี้ยง เซลล์เนื้องอกเหล่านี้ยังสามารถแพร่กระจายไกลออกไปในบริเวณส่วนต่างๆของร่างกายได้ เหมือนกับเซลล์ปกติทั่วไปที่ต้องการเลือดและสารอาหารมาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอเพื่อความอยู่รอด
- เนื้องอกที่ไม่บุกรุกเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง หรือแพร่กระจายไปยังพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ จะเรียกว่าเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง
- โดยทั่วไป เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงจะมีความอันตรายน้อยกว่าเนื้องอกชนิดมะเร็ง แต่เนื้องอกชนิดที่ไม่ร้ายแรงก็สามารถก่อให้เกิดความผิดปกติแก่สมองได้ โดยการกดเนื้อเยื่อบริเวณข้างเคียง
อาการของโรคมะเร็งสมอง
ไม่ใช่ทั้งหมดเนื้องอกในสมองทุกชนิดจะทำให้เกิดอาการผิดปกติหรือ อาการของโรคมะเร็งสมอง ตัวอย่างเช่นเนื้องอกของต่อมใต้สมอง ที่มักพบโดยบังเอิญเมื่อตรวจด้วยเครื่องตรวจวินิจฉัยโรคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) จากการรักษาอื่นๆ อาการของโรคมะเร็งสมองเกิดขึ้นได้หลากหลายและไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาการอาจเกิดจากโรคอื่นๆก็ได้ วิธีการเดียวที่จะรู้ว่าสิ่งที่จะก่อให้เกิดอาการคืออะไร ซึงคือการไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยโรคเท่านั้น อาการที่พบได้อาจเกิดจากสาเหตุดังนี้
- เนื้องอกกดหรือรุกล้ำเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของสมอง และทำให้สมองบริเวณนั้นทำงานผิดปกติ
- อาการบวมในสมองที่เกิดจากเนื้องอก หรือการอักเสบรอบๆบริเวณนั้น
อาการของโรคมะเร็งในในระยะแรก และระยะแพร่กระจายจะมีความคล้ายคลึงกัน
อาการที่พบได้ส่วนใหญ่มีดังนี้
- ปวดหัว
- อ่อนแรง
- ซุ่มซ่าม
- มีปัญหาในการเดิน
- มีอาการชัก
อาการเตือน และสัญญาณเตือนที่ไม่เฉพาะเจาะจงอื่นๆประกอบด้วย
- สุขภาพจิตเปลี่ยนแปลง ขาดสมาธิ มีปัญหาเรื่องความจำ มีอาการเฉื่อยชา
- เคลื่อนไส้ อาเจียน
- มีความผิดปกติในการมองเห็น
- มีปัญหาด้านการพูด
- มีการเปลี่ยนแปลงด้านสติปัญญา หรือการตอบสนองทางอารมณ์
ในคนทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆเกิดทีละน้อย บางครั้งตัวผู้ป่วยเอง และคนครอบครัวอาจไม่ทันสังเกตได้ แต่ในบางครั้งที่อาการอาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการคล้ายอาการเส้นเลือดในสมองแตก
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายโดยด่วนเมื่อสังเกตพบอาการดังต่อไปนี้
- อาเจียนบ่อยผิดปกติเป็นเวลานาน โดยไม่ทราบสาเหตุ
- มองเห็นภาพซ้อน หรือภาพเบลอโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะเกิดความผิดปกติกับดวงตาเพียงข้างเดียว
- มีอาการเฉื่อยชาหรือง่วงนอนเพิ่มมากขึ้น
- มีอาการชัก โดยที่ไม่มีประวัติอาการชักมาก่อน
- มีอาการปวดศีรษะในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แม้ว่าอาการปวดศีรษะจะเป็นอาการที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะพบได้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งสมอง แต่บางครั้งอาการนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลย จนกระทั่งเกิดขึ้นในช่วงปลายการลุกลามของโรค ดังนั้นถ้าสังเกตพบว่ามีอาการปวดศีรษะในรูปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและวินิจฉัยทันที
ในผู้ป่วยที่ทราบแล้วว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งสมอง แต่สังเกตพบอาการที่เกิดขึ้นใหม่ หรือมีอาการที่แย่ลงกว่าเดิม ควรไปโรงพยาบาลทีใกล้ที่สุดโดยด่วน โดยอาการที่พบได้มีดังนี้
- มีอาการชัก
- การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ และสภาพจิตใน เช่นง่วงนอนมากเกิน มีปัญหาด้านความจำ หรือขาดความสามารถในการจดจ่อกับสิ่งที่ทำ หรือขาดสมาธิ
- การเปลี่ยนแปลงด้านการมองเห็น หรือปัญหาทางประสาทสัมผัสอื่น ๆ
- มีความยากลำบากในการพูด หรือการแสดงออก
- มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม หรือบุคลิกภาพ
- ซุ่มซ่าม หรือเดินลำบาก
- คลื่นไส้ อาเจียน (โดยเฉพาะในวัยกลางคน และคนชรา)
- มีไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดหลังการทำเคมีบำบัด
การรักษาโรคมะเร็งสมอง
สำหรับการรักษาเนื้องอกในสมองมีหลายรูปแบบแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุของแต่ละบุคคล สุขภาพโดยทั่วไป ขนาด บริเวณที่เกิด และประเภทของเนื้องอก
การวางแผนรักษาโรคมะเร็งสมองมักจะซับซ้อน โดยส่วนใหญ่ในการวางแผนการรักษาจะต้องปรึกษา และขอความร่วมมือจากแพทย์ในหลายสาขาร่วมด้วย
- ทีมงานแพทย์ที่ทำการรักษาจะประกอบด้วย ศัลยแพทย์ทางประสาท (ผู้เชี่ยวชาญทางสมอง และระบบประสาท), แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา, แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษา และมะเร็งวิทยา(แพทย์ที่รักษามะเร็งด้วยการฉายรังสี) และทีมงานที่ทำการรักษาร่วมกับแพทย์ที่อาจรวมถึงนักโภชนาการ, นักสังคมสงเคราะห์, นักกายภาพบำบัด, และอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ เช่นนักประสาทวิทยา
- แนวทางการรักษาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ที่ตั้งของเนื้องอก ขนาด และประเภทของเนื้องอกอายุของผู้ป่วย และโรคทางระบบอื่นๆที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
- การรักษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายคือการผ่าตัด, การรักษาด้วยการฉายรังสี และเคมีบำบัด โดยส่วนใหญ่จะให้การรักษามากกว่าหนึ่งวิธีร่วมกัน
การผ่าตัดมะเร็งสมอง
ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในสมองหลายราย จะได้รับการผ่าตัด
- วัตถุประสงค์ของการผ่าตัด คือการยืนยันว่ามีความผิดปกติที่เห็นในระหว่างการตรวจร่างกาด้วยเครื่องมือต่างๆ เป็นที่แน่นอนว่าคือเนื้องอก และเพื่อผ่าตัดเอาเนื้องอกด้วย แต่ถ้าเนื้องอกนั้นไม่สามารถผ่าออกได้ศัลยแพทย์จะเก็บตัวอย่างของชิ้นเนื้องอกไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการการเผื่อระบุชนิดของเนื้องอกนั้นๆ
- ในบางกรณีส่วนใหญ่ เนื้องอกชนิดไม่รุ่นแรง อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก โดยศัลยแพทย์ทางประสาท(แพทย์ที่ผ่าตัดสมอง) จะพยายามเอาเนื้องอกทั้งหมดออกไปเท่าที่เป็นไปได้
ท่านอาจจะได้รับการรักษาหลายชนิด และหลากหลายขั้นตอนก่อนการผ่าตัด ตัวอย่างเช่น
- ท่านอาจจะได้รับยาสเตียรอย เช่น dexamethasone (Decadron) เพื่อบรรเทาอาการบวม
- ท่านอาจจะรับการรักษาด้วยยากันชักเพื่อบรรเทา หรือป้องกันการเกิดอาการชัก
- ถ้าคุณมีน้ำไขสันหลังส่วนเกินบริเวณรอบสมอง จะต้องใส่ท่อพลาสติกระบายของเหลวนั้นออกนอกบริเวณสมองก่อน
http://www.webmd.com/cancer/brain-cancer/brain-cancer
5. โรคมะเร็งเต้านม (Breast Cancer)
มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง ยกเว้นมะเร็งผิวหนัง และเป็นสาเหตุของการตายโดยโรคมะเร็งลำดับที่สองรองจากโรคมะเร็งปอด สัญญาณเตือนแรกขอ งมะเร็งเต้านม มักจะเป็นก้อนบริเวณเต้านม หรือการคัดกรองความผิดปกติโดยการตรวจภาพรังสีเต้านม มะเร็งเต้านมมีหลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่มะเร็งเต้านมระยะแรก มะเร็งเต้าระยะกลางที่ยังไม่แพร่กระจาย และรักษาได้ไปจนถึงมะเร็งเต้านมระยะแพร่กระจาย ซึ่งแนวทางการรักษาก็จะแต่งต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของมะเร็ง โรคมะเร็งเต้านมในผู้ชายไม่ค่อยพบได้บ่อยนัก แต่ถ้าพบต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง
อาการของโรคมะเร็งเต้านม
ในระยะแรกของโรคมะเร็งเต้านมมักจะไม่มีอาการ เมื่อเนื้องอกขยายใหญ่ขึ้น จะสังเกตอาการได้ดังต่อไปนี้
- พบก้อนเนื้อในเต้านม หรือใต้วงแขน ที่ยังคงอยู่แม้ว่าจะหมดรอบเดือนแล้ว อาการนี้เป็นอาการที่เห็นได้ชัดในระยะแรกของโรคมะเร็งเต้านม ก้อนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งเต้านมนี้มักจะไม่ทำให้มีอาการเจ็บปวด แม้ว่าผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดแปลบๆเหมือนโดนเข็มตำ ก้อนเนื้อนี้มักจะตรวจเจอได้ตั้งแต่เนิ่นๆจากการตรวจทางภาพรังสี ก่อนที่ก้อนเนื้อจะขยายใหญ่ขึ้นจนสังเกต หรือรู้สึกได้
- มีอาการบวมใต้รักแร้
- รู้สึกปวด หรือคัดตึงบริเวณเต้านม แม้ว่าก้อนเนื้อมักจะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด อาการปวด หรือคัดตึงนี้ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งเต้านม
- เนินราบที่เห็นได้ชัด หรือรอยบุ๋มบริเวณหน้าอก อาจบ่งบอกถึงเนื้องอกที่ไม่สามารถเห็น หรือรู้สึกได้
- มีการเปลี่ยนแปลงในขนาด รูปร่าง และพื้นผิว หรืออุณหภูมิของเต้านม
- ปื้นสีแดง หรือรอยบุ๋มบริเวณเต้านมคล้ายผิวส้ม อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งเต้านมระยะรุนแรง
- การเปลี่ยนแปลงบริเวณหัวนม เช่นมีรอยบุ๋ม มีรอยดึง มีอาการแสบร้อน คัน หรือมีแผล
- มีของเหลวออกมาจากหัวนม ซึ่งอาจจะใส ขุ่นมีเลือดปน หรือเป็นสีอื่นๆ ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากเนื้องอก แต่ก็อาจจะเกิดจากมะเร็งเต้านมได้
- พบรายหินอ่อนอยู่ใต้บริเวณผิวหนัง
- สังเกตพบบริเวณพื้นผิวมีความผิดปกติ แตกต่างจาบริเวณอื่น หรือแตกต่างจากเต้านมอีกข้าง
การรักษาโรคมะเร็งเต้านม
ในปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเป้าหมายหลักของการรักษาคือ
เพื่อกำจัดรอยโรคมะเร็งออกจากร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเพื่อป้องกันการกลับมาของโรค
จะทราบได้อย่างไรว่าควรเลือกแนวทางการรักษาชนิดใด?
แพทย์จะแนะนำแนวทางการรักษา โดยดูจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- ชนิดของโรคมะเร็งเต้านม
- ขนาดของก้อนเนื้อ และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่นๆในร่างกาย (ระยะของโรคมะเร็ง)]
- ถ้าเนื้องอกนั้นๆตรวจพบตัวรับโปรตีนที่เรียกว่า โปรตีนHER2, โปรตีนเอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน หรือคุณลักษณะเฉพาะอื่นๆ
ถ้าคุณอยู่ในวัยหมดประจำเดือน หรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นปัจจัยในการช่วยเลือกแนวทางการ รักษาด้วย
การรักษาโรคมะเร็งเต้านมมีกี่ชนิด?
การรักษาบางวิธีสามารถกำจัด หรือทำลายโรคภายในเต้านมและบริเวณเนื้อเยื่อใกล้เคียงเช่นต่อมน้ำเหลือง การ รักษาเหล่านี้ประกอบด้วย
- การผ่าตัด เอาเต้านมออกทั้งเต้า(mastectomy) หรือผ่าตัดเอาแค่เนื้องอก และเนื้อเยื่อรอบๆออก(lumpectomy) หรือการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม โดยทีการผ่าตัดมีหลายวิธีการ
- การรักษาด้วยรังสีรักษา โดยจะใช้คลื่นรังสีพลังงานสูงเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
การรักษาอื่น ๆ เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง หรือควบคุมไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
- การรักษาโดยใช้เคมีบำบัด จะทำโดยการให้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง เนื่องจากยาที่ให้มีความแรง และประสิทธิภาพสูง เพื่อที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง จึงสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่นคลื่นไส้, ผมร่วง, หมดประจำเดือนเร็วกว่าปกติ มีอาการร้อนวูบวาบ และมีอาการเหนื่อยล้า
- การรักษาด้วยฮอร์โมน โดยการให้ยาเพื่อยับยั้งฮอร์โมนโดยเฉพาะเอสโตรเจน(estrogen) เพื่อไม่ให้ฮอร์โมนไปกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาที่ให้ประกอบด้วย Tamoxifen (Nolvadex, Soltamox) สำหรับผู้หญิงก่อนและหลังวัยหมดประจำเดือน และ Anastrozole (Arimidex), Exemestane (Aromasin) และ letrozole (Frmara) สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่นมีอาการร้อนวูบวาบ และช่องคลอดแห้ง ยาบางชนิดจะไปยับยั้งการทำงานของรังไข่ไม่ให้สร้างฮอร์โทน ซึ่งทำได้ผ่านทั้งวิธีการผ่าตัด และการให้ยา
- การให้ยาที่เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง(targeted therapy) เพื่อยับยั้งการเจริญเติมโตของเซลล์มะเร็ง และช่วยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
คุณอาจได้รับยาเคมีบำบัด, การรักษาด้วยฮอร์โมน หรือได้รับยาที่เฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง ร่วมด้วยกับการผ่าตัดหรือการฉายรังสี เพื่อค่าเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่
http://www.webmd.com/breast-cancer/guide/default.htm
6. โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ( Bladder Cancer)
อาการของ โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ประกอบด้วยอาการปัสสาวะ/ฉี่เป็นเลือด มีอาการปวดเมื่อปัสสาวะ โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการรักษาเช่นการผ่าตัด เคมีบำบัดและรังสีรักษา
สาเหตุของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
สาเหตุ ของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ไม่สามารถระบุได้แน่ชัด การเปลี่ยนแปลงในสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ(DNA)ของเซลล์กระเพาะปัสสาวะอาจมีบทบาทสำคัญ สารเคมีในสิ่งแวดล้อมและบุหรี่การสูบบุหรี่ก็อาจจะส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งชนิดนี้ด้วย เมื่อเยื่อบุของกระเพาะปัสสาวะเกิดการระคายเคืองตลอดเวลาเป็นเวลานานการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ซึ่งนำไปสู่เซลล์มะเร็งอาจเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองนี้อาจเป็นการได้รับรังสีรักษา การใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน หรือมีปรสิตที่เป็นสาเหตุของโรคพยาธิใบไม้ในเลือด(schistosomiasis)
โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีแนวโน้มเกิดขึ้นได้เป็นสองเท่าในผู้สูบบุหรี่กว่าในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุประมาณครึ่งหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง การสัมผัสกับสารเคมี และสารอื่น ๆ เช่นการทำงานรวมสีย้อม สีฝุ่น เครื่องหนัง ฝุ่นละออง และอื่นๆ อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้
อาการที่พบของโรค มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
อาการที่พบบ่อยที่สุดในโรค มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ประกอบด้วย
- เลือดหรือลิ่มเลือดในปัสสาวะ(hematuria) เลือดในปัสสาวะเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยจำนวน 8 คนหรือ 9คน ในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด10 คน ที่มีโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นอาการที่พบได้บ่อยและไม่มีอาการปวดกระเพาะปัสสาวะร่วม
- ปวดในระหว่างการถ่ายปัสสาวะ(ปัสสาวะลำบาก)
- ปัสสาวะกระปิดกระปอย และปัสสาวะบ่อย
- มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะบ่อย (UTIs)
อาการที่พบ และบ่งบอกถึงระดับความรุนแรงของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่มากขึ้นคือ
- อาการปวดหลังส่วนล่างบริเวณไต (อาการปวดเอวด้านข้าง)
- ขาท่อนล่างมีอาการบวม
- มีการเจริญเติบของกระดูกเชิงกรานใกล้กระเพาะปัสสาวะ (มวลกระดูกเชิงกรานหนาเพิ่มมากขึ้น)
อาการอื่น ๆ ที่พบได้จากการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เมื่อมะเร็งมีการแพร่กระจายแล้วประกอบด้วย
- น้ำหนักลด
- ปวดกระดูก หรือปวดในบริเวณทวารหนัก หรือในบริเวณอุ้งเชิงกราน
- มีภาวะเลือดจาง
อาการของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะอาจจะคล้ายคลึงกับอาการที่พบได้จากการเกิดโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะ
การรักษาโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
ทางเลือกของการรักษาและผลการรักษาในระยะยาว (การพยากรณ์โรค) สำหรับผู้ที่มีโรค มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง และระยะเวลาที่เกิดโรคมะเร็ง เมื่อตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาได้แล้ว แพทย์ของท่านจะยังพิจารณาถึงอายุ สุขภาพโดยรวม และคุณภาพชีวิตของท่านร่วมด้วย
โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะมีโอกาสประสบความสำเร็จรักษาหากเข้ารับทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ทางเลือกในการรักษาโรคมะเร็วกระเพาะปัสสาวะมีดังนี้
- การผ่าตัดเอามะเร็งออก การผ่าตัดเพียงอย่างเดียว หรือพร้อมกับการรักษารูปแบบอื่น ๆ เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการรักษามากที่สุด
- การทำเคมีบำบัด เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งโดยการให้ยา การทำเคมีบำบัดอาจจะได้รับก่อนหรือหลังการผ่าตัดก็ได้ แล้วแต่แพทย์จะพิจารณา
- การรักษาด้วยการฉายรังสี เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง โดยฉายรังสีเอกซ์ความเข้มข้นสูง หรือรังสีพลังงานสูงอื่น ๆ การรักษาด้วยการฉายรังสีอาจจะได้รับก่อนหรือหลังเข้ารับการผ่าตัด และอาจจะได้รับในเวลาเดียวกับการทำเคมีบำบัดก็ได้
- การใช้ภูมิคุ้มกันรักษา การรักษาวิธีนี้จะใช้การป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายเรา หรือที่เรียกว่าการใช้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในการทำลายเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
http://www.webmd.com/cancer/bladder-cancer/bladder-cancer-cause